![]() |
เรื่องความร้อนคับ
:) ขอถามหน่อยคับรถผมเครื่องเจโบ หม้อน้ำเจโบ พัดลมวอลโว 2สแตป ฝา1.1บาร์ วาวล์น้ำเปลี่ยนมา2เดือน อาการมีอยู่ว่า เวลาขับเรื่อยๆเกย์ผมจะขึน90-95 แต่เวลาบูสทีเดียวจะขึ้นไปถึง 100-105 คับ แล้วผมก้อขับเรื่อยมานจะลงมาอยู่ที100ล่ะจะลดมาอยู่ป ระมาน95คับ ผมมองเกย์เก่าทีหน้าปัดรถขึ้นแค่ ครึ่งของครึ่งคับ เกย์ผมต่อกับสายไฟเก่าทีหน้าปัดรถคับ ผมเลยไม่รู้ว่าเกย์ไหนจิงเกย์ไหนหลอกคับ กลับถึงบ้านเปิดดูน้ำปรกติไมมีหายคับ อาการยังงี้ปรกติไหมคับ รถผมใช้น้ำมันคับ ขอบคุนคับ
__________________ |
อ้างถึง:
และฝากทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยครับ ว่า ถ้าจะตั้งหัวกระทู้ อย่าพิมพ์ชื่อลงไปที่กระทู้ครับ เพราะว่า สมาชิกท่านอื่นๆ จะไม่กล้าเข้ามาตอบครับ ทำให้ทิ้งโอกาสที่จะได้ความรู้กว้างขึ้นครับ และยังเป็นการไม่ให้เกียรติท่านอื่นๆด้วยครับ สมาชิกในเวปนี้ มีความรู้ความสามารถมากมายครับ ผมเองแค่เศษเสี้ยวเล็กๆของท่านต่างๆเท่านั้นครับ แต่อย่างไรผมก็ขอตอบกระทู้ให้นะครับ ************************************************** ******* จากข้อมูลที่ให้มา ไม่ได้บอกว่า ขับรถใช้งานบนท้องถนนโล่ง หรือ การจารจรติดขัด แต่ผมอนุมานเองว่า ขับใช้งานในทางโล่งๆ เพราะว่า มีบอกว่าเทอร์โบบูสท์ขึ้น ถ้าเกจ์วัดอุณหภูมิให้ตัวเลขถูกต้อง (ไม่เพี้ยน) ก็ต้องบอกว่า ระบบการระบายความร้อนของคุณปกติ แต่แค่พอใช้ได้เท่านั้นครับ ถ้านำไปใช้งานขึ้นเขาสูงชัน มีโอกาสฮีทได้เช่นกันครับ ถ้ามี 100 คะแนนเต็ม ผมให้คะแนน 70 ครับ เครื่องเทอร์โบ อุณหภูมิมาตราฐานอยู่ที่ 90 - 95 ถือว่าใช้ได้ครับ แต่ถ้าได้ต่ำอีกนิดก็ดีครับ สักประมาณ 85 - 90 ครับ (วิ่งทางไกลหรือทางโล่งๆ จะอยู่ที่ 85 - 88 แต่ถ้ารถติดอยู่กับที่นานๆ จะไม่ควรเกิน 90 องศาครับ) เวลาเร่งเครื่องบูสท์เทอร์โบขึ้น ความร้อนขึ้นก็จริง ก็ไม่ควรเกิน 100 ครับ ของคุณถึง 105 ก็ยังพอรับไหว แต่อย่าบูสท์นานๆนะครับ อาจจะมี ฮีทให้เห็นครับ ฝาหม้อน้ำรับแรงดัน 1.1 บาร์ ถูกต้องแล้วครับ น้ำในหม้อน้ำจะได้ไม่หาย หม้อน้ำของเจโบ พัดลม วอลโว่ ก็ใช่ว่าจะใช้กับรถคุณแล้ว จะผ่านเกณฑ์นะครับ มันขึ้นอยู่กับ สภาพภายในหม้อน้ำ ตันหรือไม่ ช่วงห่างระหว่างหม้อน้ำกับเครื่องยนต์ พอหรือไม่ หน้ารถมี ช่องรับลมได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าลมผ่านเข้าครีบระบายลมของหม้อน้ำได้น้อย ให้หม้อน้ำดีแค่ไหน ก็ระบายความร้อนได้ไม่ทันครับ ลองไปสังเกตุดูว่า มีอะไรบังหน้าหม้อน้ำหรือเปล่าครับ ให้ดูที่ตัวครีบหม้อน้ำด้วยครับ ว่า ล้มติดกันหรือไม่ ถ้าล้ม ก็เขี่ยให้ตั้งตรง ทำความสะอาด อย่าให้มีสกปรกขวางทางลมครับ การสะสมความร้อนภายในกระโปรงรถก็เช่นกันครับ เป็นตัวเสริมให้ความร้อนเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ถ้าเป็นตัวรถทั่วไป ไม่ได้ทำที่ระบายลมอะไรออกมาเป็นพิเศษ ให้แก้ไขโดย ยกฝากระโปรงด้านหลัง (ด้านที่อยู่ชิดกับกระจกบังลมหน้า) ให้สูงขึ้นสัก ครึ่งนิ้ว เพื่อระบายความร้อนออกจากห้องเครื่องครับ ถ้าทุกอย่างที่ผมบอกนั้น ทำไปแล้ว ก็เหลือแต่ คุณภาพของน้ำยาหล่อเย็น แล้วครับ ปกติแล้วให้ถ่ายเปลี่ยน น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ (น้ำในหม้อน้ำ) ทุกๆ ครึ่งปี โดยถ้ามีทุนทรัพย์ ก็ซื้อน้ำยาประเภทผสมเสร็จ ใส่ลงไปแทนน้ำเลยครับ (ดี แต่ผมไม่อย่าแนะนำครับ เพราะว่าเปลืองเงิน) แต่ถ้าไม่คิดมากเท่าไหร่ ให้ซื้อ น้ำยาหล่อเย็น ชนิดเข้มข้น (ยี่ห้ออะไรก็ได้ ราคาปานกลาง ไม่จำเป็นต้องซื้อแพงครับ เพราะว่า อายุการใช้งานเท่ากันหมดครับ คือ ตั้งแต่เริ่มใช้ จะค่อยๆเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ จนถึง 6 เดือน ไม่เกิน 1 ปี ครับ คุณภาพขึ้นอยู่กับปริมาณและความเข้มข้นของน้ำยาครับ) อ่านฉลากข้างกระป๋อง ดูว่า จะต้องผสมกับน้ำสัดส่วนขนาดไหน ถ้าไม่มั่นใจปริมาณน้ำในหม้อน้ำ ก็ซื้อมาใช้ 2 กระป๋องได้เลยครับ เวลาจะนำมาใช้งาน ให้ถ่ายน้ำในหม้อน้ำเดิมออกให้หมดครับ แล้วค่อยเติมน้ำใหม่เข้าไป อย่าให้เต็ม จากนั้น เติมน้ำยาหล่อเย็น ลงไปทั้ง 2 กระป๋อง แล้วค่อยเติมน้ำต่อจนเต็มครับ มีทำบังลมให้พัดลมหลังหม้อน้ำ (พัดลมวอลโว่) หรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีก็ต้องทำนะครับ ด้านหน้าหม้อน้ำ มีวางคอยล์ร้อนแอร์หรือเปล่าครับ ถ้ามี ให้วางห่างจาก หม้อน้ำอย่างน้อย 1 นิ้ว และติดตั้งพัดลมแบบเป่าไว้หน้า คอยล์ร้อนแอร์ ครับ ถ้าทำทั้งหมดไปแล้ว อุณหภูมิช่วงขับปกติ ยังลงไม่ถึง Max. 90 องศา ต้องแก้ไขที่พัดลมเป็นลำดับต่อไปครับ ให้หาพัดลมไฟฟ้าแบบ 2 สเต็ปแรงๆ ขนาดเท่าความกว้างของหม้อน้ำ (พัดลม 2 ตัวก็ได้ครับ) ถ้าทำแล้ว ความร้อนยังไม่ลดลงจากเดิม ก็เหลือแต่ หม้อน้ำแล้วครับ คงต้องตรวจเช็คคุณภาพหม้อน้ำ หรือเปลี่ยนขนาดครับ ************************************************** ***** ที่ผมบอกดังกล่าวเบื้องต้นนั้น เงื่อนไขอยู่ที่เกจ์วัดอุณหภูมิความร้อน ไม่เพี้ยนนะครับ และที่อยากให้แก้ไขตามนั้น เป็นเพราะว่า ต้องการป้องกันเผื่อไว้ว่า ถ้าเครื่องฮีทขึ้นมา จะไม่ขึ้นเร็วจนแก้ไขอะไรไม่ทัน และ เผื่อไว้ให้ใช้งานช่วงงานหนักๆ เช่น ขึ้นเขาชันๆครับ |
ขอถามด้วยคนคับ ลุงมูล ผมเครื่องGE เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา 24 -25 ก.พ ผมวิ่งแก๊ส กทม-สระบุรี 110 -120 Km กลางวันความร้อนหม้อน้ำผม ขึ้นไป 95 -100 เลยอ่ะคับ แต่ถ้าจอดรถจะลงมาอยู่ที่ 85 เกย์วัดแยก แต่เวลาวิ่งในเมือง ทั้งกลางวัน - กลางคืน ความร้อน 85 - 90 กว่า นิดหน่อย ผิด ปกติ ไหม คับ พัดลมไฟฟ้า 12นิ้ว ดูด 2 ตัว คอยล์ร้อนแอร์ เป่า 10 นิ้ว 1 ตัว อ่ะคับ ลุงมูล:emo_toon05: :emo_toon05:
|
อ้างถึง:
|
:) หม้อน้ำเริ่มตัน หรือป่าว น้าอ้น :emo_toon04:
|
อ้างถึง:
|
อ้างถึง:
|
ลุงน้ามูนครับ
ผมวิ่งปรกติอยู่ที่ประมาณ 84 - 87 ลากยาวจะอยู่ที่ประมาณ 90 ไม่เกิน ฝังเซ็นเซอร์ตรงล่างสุดของหม้อน้ำครับ ประมาณนี้ถือว่าสูงหรือต่ำไปไหมครับ ขอบคุณครับ |
อ้างถึง:
กฏของเรื่องการระบายความร้อน ก็คือ ต้องควบคุมประสิทธิภาพของการระบายความร้อนได้ในช่วงว ิกฤตไว้ได้ครับ ช่วงวิกฤต ของ การระบายความร้อนอยู่ช่วงไหน?
|
ลุงมูล ครับ แล้วถ้าแรงดันน้ำมันเครื่องมันตก มันจะมีผลกับความร้อนขึ้นเวลาขับแช่ทางไกลบ้างรึเปล่ าครับ
|
อ้างถึง:
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถามมา ก็ต้องขอตอบกลับครับ ว่า เป็นไปได้ครับ เพราะว่า น้ำมันเครื่องเป็นตัวแปรตัวหนึ่งด้วยครับ ที่ช่วยระบายความร้อนได้ระดับหนึ่งครับ พอกล่าวถึงตัวแปรของการระบายความร้อน ทำให้ผมนึกไปถึงอีกตัวหนึ่ง ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงเลย แต่ที่ไม่ได้กล่าวถึงนั้น เพราะว่ามีเหตุผลอยู่ครับ นั่นคือ ปั๊มน้ำ ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงมันเลย เพราะว่า ตัวนี้ ถึงเป็นตัวแปรสำคัญก็จริง แต่ว่า เป็นตัวที่ สึกหรอยาก และอยู่ภายในเครื่อง ไม่เหมาะสมกับ ผู้ใช้รถทั่วๆไปอย่างเราๆ จะเข้าไปซ่อมแก้ไขครับ ต้องพึ่งช่างเท่านั้นครับ จึงไม่ได้กล่าวไว้เป็นประเด็นให้ตรวจสอบแก้ไขคร ับ |
อ้างถึง:
|
อ้างถึง:
ถ้าคอยล์ร้อนแอร์ของคุณติดตั้งอยู่หน้ารถ (อยู่หลังกระจังหน้ารถ แต่อยู่หน้าหม้อน้ำ) ก็ควรติดตั้งพัดลมแบบเป่า ไว้หน้าคอยล์ร้อนนะครับ จะช่วยให้แอร์เย็นขึ้น และมีส่วนช่วยการระบายความร้อนของหม้อน้ำดีขึ้นด้วยค รับ ผมสงสัย ข้อมูลที่คุณให้ผมมา อยู่ 3 ข้อครับ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า อุณหภูมิน้ำมันเครื่องที่ได้นั้น สูงไปนิด ไม่ทราบว่า ที่บอกว่า น้ำมันเครื่องไม่พร่องนั้น เวลาเครื่องเย็นที่ก้นแคร้งมีปริมาณน้ำมันเครื่องเท่ าไหร่ครับ (ต่ำกว่า 5 ลิตรหรือเปล่าครับ) คนที่ติดตั้งเครื่องแคร้งหน้า แล้วใช้วิธีปาดแคร้ง ทำให้ปริมาณน้ำมันเครื่องน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จะเกิดปัญหาเรื่องน้ำมันเครื่องน้อยเกินไป อุณหภูมิน้ำมันเครื่องจะสูงกว่าปกติ เพราะว่าการหมุนเวียนใช้งานของน้ำมันเครื่องจะถี่กว่ าปกติที่เขาไม่ได้ปาดแคร้งครับ และช่วงที่จำเป็นต้องใช้กำลังแรงบิดสูงๆ รอบเครื่องสูง หรือขึ้นเขาสูงชัน อาจจะมีปัญหาเครื่องน๊อคได้ครับ ซึ่งพอจะมีวิธีแก้ไข ก็คือ ติดตั้ง ออยคูลเลอร์เพิ่มขึ้นมา ทำให้มีปริมาณเนื้อที่ของน้ำมันเครื่องเพิ่มขึ้ น และออยคูลเลอร์ ยังเป็นตัวช่วยระบายความร้อนของน้ำมันเครื่องด้ วย ทำให้ได้ประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องครับ |
Nissan Frontier + 1UZ + Variable Mixer
ผมสงสัยนิดนะครับ ถ้าหากว่า Thw รายงานว่าอุณหภูมิประมาณ 90 องศา แล้วโดยปกติแล้วอุณหภูมิน้ำมั้นเครื่องจะประมาณเท่าไ หร่ครับ ในกรณีเครื่องปกตินะครับคือแคร้งเดิมๆ ผมกำลังคิดว่า
ถ้าหากเราวัดอุณหภูมิที่ Thw ปกตินั่นแสดงว่าอุณหภูมิของน้ามันเครื่องย่อมปกติด้ว ยเช่นกันใช่หรือไม่ครับ |
อ้างถึง:
อ้างถึง:
ในภาวะปกติ อุณหภูมิของน้ำในเครื่องและน้ำมันเครื่อง จะขึ้นลงตามๆกันไปครับ ดังนั้น ในรถทั่วๆไปในปัจจุบัน จึงไม่มีเกจ์วันอุณหภูมิน้ำมันเครื่องติดมาให้จากโรง งานครับ เพราะถือว่า ถ้าทุกอย่างเหมือนที่มาจากโรงงาน อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ ขึ้นลงตามอุณหภูมิของน้ำในเครื่องยนต์ครับ แต่เนื่องจาก มีกรณีพิเศษ เช่น รถออกจากโรงงาน เป็น รถกรณีพิเศษ (รถแข่ง รถหรูราคาแพง ใช้เครื่องยนต์ดีเป็นพิเศษ) โรงงานจึงจะติดตั้งมาให้ครับ หรือ ผู้ใช้รถ ต้องการดูแลเครื่องยนต์เป็นพิเศษ ก็จะติดตั้งเพิ่มเติมครับ แต่สำหรับผู้ใช้รถทั่วๆไป ถ้าเติมน้ำมันเครื่องคุณภาพดี ใส่ปริมาณที่ตามโรงงานกำหนด และใช้ขับรถแบบทั่วๆไป ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เกจ์วัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่องครับ ขอเพียงแค่ดูแลรักษา และระวังเรื่องระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ด้วยน้ำใ ห้ดีๆก็เพียงพอแล้วครับ |
ปรกติ อุณหภูมิน้ำมันเครื่องกะแรงดันน้ำมันเครื่องควรจะอยู ่ที่ประมาณเท่าไหร่ครับ และก็ถ้าติดเกจจ์วัดสองตัวนี้ เซ็นเซอร์ควรฝังไว้ตรงไหนครับ
ขอบคุณครับ |
อ้างถึง:
อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องที่ใช้งานปกติ จะอยู่ที่ 100 องศาเซลเซียส (212 องศาฟาเรนไฮท์) แต่ถ้าใช้ความเร็วรอบเครื่องสูง อาจจะทำให้อุณหภูมิน้ำมันเครื่องสูงถึง 125 องศาเซลเซียส (257 องศาฟาเรนไฮท์) แต่พยายามอย่าให้ถึงจะดีกว่าครับ เพราะว่า จะทำให้ระบบหล่อลื่นหมดประสิทธิภาพในการหล่อลื่นที่ด ีไปครับ ระบบการระบายความร้อนของน้ำมันเครื่องมี 2 แบบครับ คือ
แรงดันน้ำมันเครื่อง แรงดันน้ำมันเครื่อง ในรอบเครื่องเดินเบาปกติ จะอยู่ที่ 0.3 กก.ต่อตารางเซนติเมตร หรือ 4.3 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว และถ้าความเร็วรอบสูง อาจจะได้สูงถึง 36 - 71 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือ 2.5 - 5.0 กก.ต่อตารางเซนติเมตร เครื่องยนต์ทุกคัน จะมีเซนเซอร์วักแรงดันน้ำมันมาให้อยู่แล้วครับแต่ส่ว นใหญ่ที่หน้าปัดจะเป็นแบบ warning lamp (ไฟเตือนแรงดันต่ำ) ซึ่งถ้าแรงดันต่ำระดับ 0.2 กก.ต่อตารางเซนติเมตร หรือ 0.84 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะมีไฟเตือนครับ สังเกตุได้จากตอนที่หมุนสวิทช์กุญแจ on ไฟโชว์แรงดันน้ำมันเครื่องจะเตือน แต่เมื่อไหร่ที่สตาร์ทรถไปแล้วสักครู่ ไฟเตือนจะต้องดับ ตำแหน่งสวิทช์แรงดันน้ำมันเครื่องจะอยู่แถวๆ กรองน้ำมันเครื่องนั่นแหละครับ (ห่างออกมาจากกรองน้ำมันเครื่อง ด้านซ้ายหรือด้านขวา ก็จำไม่ได้ ลองดูเอาเองครับ) และถ้าต้องการจะติดตั้งเกจ์ตัววัดแรงดันน้ำมันเครื่อ ง (เป็นเข็มหรือตัวเลข ไปที่หน้าปัด) ก็ติดตั้งได้จากจุดนี้ครับ โดยทำอแดปเตอร์ต่อแยกออกมาครับ |
อ้างถึง:
*1. ผมติดเกจ์เพิ่มโดยฝังเซนเซอร์ ที่กรองน้ำมันเครื่องโดยใช้อะแดปเตอร์ *2. ผมฝังเซนเซอร์ ที่ท่อน้ำบน ที่ออกจากเครื่อง *3. ผมไม่ทราบอุณหภูมิน้ำในเครื่องครับ ช่วยบอกวิธีวัดหน่อยครับ(ทำไม่เป็น) (สมมุติ) เดิมเครื่องเป็นเครื่องแคร้งหลัง แต่ถ้าเกิดมีการสลับแคร้งโดยเอาแคร้งหน้ามาใส่แทนมัน จะมีผลบ้างรึเปล่าครับ |
อ้างถึง:
ผมจะตอบข้อ 3 และที่สมมุติมานะครับ เซนเซอร์ THW ที่ไว้วัดอุณหภูมิน้ำในเครื่องยนต์นั้น จะส่งสัญญาณไปที่กล่อง ECU เป็นกระแสไฟ ซึ่งจะแปลงออกมาเป็นตัวเลขได้ครับ วัดอุณหภูมิเครื่องยนต์ได้ค่อนข้างตรงมากทีเดียวครับ ซึ่งปัจจุบัน มีคนขายมาตรวัดเป็นตัวเลข โดยต่อสายออกมาจาก ECU ครับ หรือถ้าหาซื้อไม่ได้ และอยากได้ ก็ลองเข้าไปใน Forums Classified ดูกระทู้เกี่ยวกับ OBD ติดต่อซื้อกับคุณโต้งครับ เจ้าเครื่องนี้ จะบอกมาตรอะไรหลายๆอย่างครับ หาศึกษาอ่านในกระทู้นั้นเองครับ ที่คุณสมมุตมาเกี่ยวกับเรื่องเปลี่ยนแคร้งนั้น มีคนทำมากมายครับ เพราะว่าติดคานบ้าง ติดคันชักคันส่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่ เครื่องเดิมจะเป็นแคร้งหน้าแล้วเปลี่ยนเป็นแคร้งหลัง ครับ จึงต้องตอบว่า ไม่มีปัญหาอะไร หรือไม่มีผลกระทบใดใดครับ การบรรจุปริมาณน้ำมันเครื่องจะต้องเท่าเดิมครับ เพียงแต่ว่า ตอนที่เปลี่ยนนั้น ต้องแก้ไขจุดวางฝักบัวที่ดูดน้ำมันเครื่อง ตำแหน่งท่อที่เสียบเหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องก็จะเป ลี่ยนไป ก็เพียงแค่นั้นครับ (ถ้าเดิมเป็นแคร้งหลัง แล้วต้องการเปลี่ยนเป็นแคร้งหน้านั้น ตัวแคร้งหน้ามีเกลื่อนเมือง ไม่มีราคา หาง่ายครับ ส่วนถ้าจะหาแคร้งหลังสิครับ หายาก จึงมีการโก่งราคาให้สูงเข้าไว้ครับ บางคนไม่สู้ราคา จึงใช้วิธีปาดแคร้ง (ทุบ หรือปาดตัดต่อ) ซึ่งก็ทำได้ครับ แต่ต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำมันที่หดหายไป สมควรที่จะต้องทำส่วนต่อเพิ่มเนื้อที่อคร้งครับ เพื่อให้ปริมาณน้ำมันเครื่องได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดครับ) |
ขออณุญาติแทรกคร้บ
ลุงมูนครับมาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่องในรถกระบะรุ่นไ มตี้เอ็กซ์ มีวิธีดูอย่างไรครับ เช่นเวลาเดินเบาเข็มมาตรวัดควรจะอยู่ตำแหน่งไหน
ขอบคุณมากครับ ปล.ไม่แน่ใจกับคำว่า เกย์ หรือ เกจ์ กลัวใจจะเขว แล้วจะเป็นปัญหาให้ลุงมุนไหวหวั่นซะอีก:emo_toon09: |
อ้างถึง:
เกจ์วัดแรงดันน้ำมันเครื่องแบบขดลวดความร้อน (Thermostatic Oil Pressure Gauge) รถทั่วๆไปในปัจจุบัน จะตัดทอนส่วนนี้ออกไป เพื่อลดต้นทุน และ เนื่องจากว่า ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นความสำคัญของเกจ์นี้เท่าไ หร่ (สังเกตุจากตัวคุณเอง ยังไม่ทราบเลยว่า ดูอย่างไร ใจจะไม่เขว :)) เกจ์วัดแบบนี้จะมีโลหะไบมิทัลติดตั้งโดยตรงเข้ากับเข ็มวัดที่หน้าปัด และมีขดลวดความร้อนเป็นชุดเซนเซอร์ติิดตั้งอยู่ที่เค รื่องยนต์ โดยหน้าทองขาวภายในเซนเซอร์ จะอยู่ตำแหน่งเปิด เมื่อไม่มีแรงดันน้ำมันเข้ามา กระแสไฟจากสวิทช์กุญแจ จะไม่สามารถไหลผ่านลงกราวน์ให้ครบวงจรได้ ขดลวดความร้อนที่พันอยู่กับโลหะไบมิทัล ที่เซนเซอร์แรงดันน้ำมันและที่เกจ์วัดจะไม่งอตัว เข็มที่เกจ์ก็จะอยู่ที่ต่ำสุดครับ (กรณีเปิดสวิทช์กุญแจที่ on แต่ยังไม่สตาร์ท) เมื่อเราสตาร์ทเครื่องยนต์ไปแล้ว น้ำมันเครื่องก็จะเกิดแรงดัน ยิ่งรอบเครื่องสูง แรงดันน้ำมันยิ่งแรง แรงดันนี้ จะไปดันไดอะแฟรมในเซนเซอร์ให้หน้าทองขาวสัมผัสกันกับ ขดลวดความร้อนที่พันทับอยู่บนโลหะไบมิทัล กระแสไฟก็จะไหลครบวงจร เข็มวัดที่หน้าปัดก็จะเลื่อนไปตามกระแสไฟที่ผ่านขดลว ดไบมิทัลที่เกจ์วัดแรงดัน ยิ่งแรงดันสูง กระแสยิ่งแรง ก็จะทำให้ ขดลวดไบมิทัลที่เกจ์งอมากขึ้น เข็มก็จะเลื่อนไปทางมาตรวัดที่สูงขึ้นครับ ระบบแบบนี้ สามารถบอกได้เพียงว่า แรงดันสูงขึ้น เข็มก็จะไปที่สูงขึ้น แรงดันต่ำลง เข็มก็ตกลงมาครับ มีประโยชน์สำหรับให้รับรู้ถึงแรงดันน้ำมันครับ ซึ่งปกติ รอบเครื่องสูง แรงดันจะต้องสุดเกจ์ ส่วนรอบเครื่องเดินเบา แรงดันจะตกมาระดับ กลางหรือ 1/4 ของเกจ์ครับ รู้เพียงหยาบๆแค่นี้เองครับ (แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรู้มากไปทำไมให้ใจเขวครับ :)) เมื่อไหร่ก็ตาม ถ้ารอบเครื่องสูงแล้ว เข็มไม่ได้ชี้ไปสุด ให้สงสัยไว้ก่อนว่า คุณภาพน้ำมันเครื่องเริ่มย่ำแย่แล้วครับ ความหนืดน้ำมันเครื่องลดลง หรือ ปริมาณน้ำมันเครื่องหดหายไม่เพียงพอตามเกณฑ์ที่กำหนด ครับ |
ขอบคุณลุงมูน และ คุณ toomiceman ด้วยครับ
รถผม ติดตั้งเกจต่างๆ ตำแหน่งเหมือนของคุณเลย ความร้อนน้ำมันเครื่องก็ไล่ขึ้นตามความเร็ว เหมือนของคุณเหมือนกัน ความร้อนหม้อน้ำ ก็พอๆ กัน แต่ควาร้อนน้ำมันเครื่องของผม เครื่องร้อนแล้ว เดินเบาปกติทั่วไป 100 องศา ขับเรื่อยๆ ใช้งานในเมือง 110 องศา +- ความเร็ว 120 = 112 องศา ความเร็ว 140 = 118 องศา ความเร็ว 150 = 120-122 องศา ความเร็ว 160 ขึ้นไป จะขึ้นไปเรื่อยๆ ถึง 125 องศา นิ่งๆ อยู่สักพักครับ ก็ถือว่าใกล้เคียงกัน ของผมเป็น 1J-GE + LPG แคร้งหลัง (แบบเหล็กสร้างใหม่ เดิมน้ำมันเครื่อง 5.5 ลิตร) ค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อย ขอบคุณมากๆ ครับ กำลังนึกอยู่พอดีเลย ว่าเห็นมีแต่คนพูดถึงเรื่องความร้อนหม้อน้ำ ทำไมไม่มีคนพูดถึงเรื่องความร้อนน้ำมันเครื่องบ ้าง :) |
อ้างถึง:
รถผมก็เจอปัญหาแบบเดียวกันเลยครับเนื่องจากช่วงนี้อา กาศร้อนมากและผมได้ใช้รถวิ่งต่างจังหวัดในเวลากลางวั น อุณหภูที่ OBD ขึ้นที่ 100 วิ่งที่ความเร็วประมาณ 110-120 แลพอรถติดไฟแดงก็ลงมาที่ 95 ครับพอวิ่งตอนกลางคืนความเร็วประมาณ 120 ความร้อนขึ้นที่ 95 เลยอยากให้ คุณMoon ช่วนวิเคราะห์ให้ทีครับช่วงนี้เลยเป็นคนขับรถแบบระแว งต้องคอยมองอุณหภูมิตลอดเวลา (หม้อน้ำเนียม 2 ช่องพัดลมดูดแบบบังลมเนียม 2 ตัวทำงานตลอดเวลา หน้าแผงแอร์เป่า 2 ตัว ทำงานตอนแอร์ทำงานครับ):rolleyes: :rolleyes: |
Nissan Frontier + 1UZ + Variable Mixer
ของผมก็เป็นเหมือนกันครับอัดเกิน 140 ขึ้นเลยครับแต่ปล่อยๆ มานานแล้วนะครับไม่ได้พิสูทจ์ ถ้าอัด 190 แช่เข็มขึ้นไปสุดด้านล่างแต่ไม่ถึงกับ Heat นะครับ
สำหรับการปรับปรุงผมจะไปติด OBD เป็นอันดับแรกอาทิตย์นี้แล้วครับ แล้วค่อยมาปรับปรุงหม้อน้ำอีกทีนะครับ เพราะผมตั้งสมมุติฐานไว้ว่าเกย์ความร้อน Nissan ไม่ Match กับ Sensor Toyota 1UZ นะครับ แต่ยังไม่ได้พิสูทน์นะครับ ตอนนี้อากาศร้อนเข็มขึ้นมากกว่าปกติเลยจำเป็นต้องรู้ ความร้อนที่แน่นอนแล้วนะครับเพราะจะได้หายกังวลและเพ ื่อจะตัดสินใจปรับปรุงหม้อน้ำดีหรือเปล่านะครับ |
อ้างถึง:
วิธีแก้ไขเบื้องต้น แบบยังไม่ต้องลงทุนมาก ก็คือ ถ้าใช้น้ำในหม้อน้ำ นานเกิน 6 เดือนแล้ว ให้ถ่ายน้ำออกให้หมดครับ แล้วเติมน้ำใหม่เข้าไปพร้อมกับน้ำยาหล่อเย็น จัดให้ส่วนผสมถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งานจริงนะครับ (อ่านจากที่ผมพิมพ์ไว้ที่ Reply ต้นๆ) พยายามอย่าให้มีอะไรมาบังหน้าหม้อน้ำ เช่นกระจังหน้าที่เป็นตารางถี่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นช่องกว้างๆหน่อย ครีบระบายความร้อนหม้อน้ำ ถ้าล้มก็เขี่ยให้ตั้งตรง ถ้าสกปรกก็ล้างให้สะอาดจะได้ระบายความร้อนได้ดี ถ้ามีคอยล์ร้อนแอร์ขวางทางลมอยู่ ให้เช็คดูว่า มันชิดติดหม้อน้ำมั้ย จัดการให้มีช่องห่างบ้าง อย่างน้อยๆ 1 นิ้วก็ยังดีครับ แล้วติดตั้งพัดลมเป่าหน้าคอยล์ร้อนแอร์ครับ (ถ้าเป็นเช่นนี้อยู่แล้วก็ผ่านครับ) เวลาวิ่งรถด้วยความเร็วสูงแล้ว ระบายความร้อนไม่ทันนั้น เป็นไปได้ว่า ในห้องเครื่องมีการสะสมความร้อน ก็จัดการให้ความร้อนที่สะสมนั้น ระบายออกไปได้อย่างรวดเร็ว เช่น ยกฝากระโปรงด้านกระจกบังลมหน้าให้สูงขึ้น เป็นต้นครับ ถ้าทั้งหมดนั้น ทำอยู่แล้ว แต่ความร้อนยังขึ้นช่วงใช้ความเร็วสูง ก็จะเหลือทางเดียว ก็คือ เปลี่ยนหม้อน้ำให้ใหญ่ขึ้นครับ กรณีของคุณ วาล์วน้ำ ไม่น่าใช่ประเด็นปัญหา เพราะว่า ช่วงเวลาอื่น ระบายความร้อนทันครับ จะเหลืออีก 2 ประเด็น ที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่ก็ควรตรวจเช็ค ก็คือ หม้อน้ำตีบ หรือ/และ ปั๊มน้ำทำงานไม่ดี ครับ |
อ้างถึง:
|
สงสัยต้องไปถอดเกจ์วัดความร้อนน้ำมันเครื่องออกจะได้ ไม่หลอน:emo_toon08:
ขอบคุณลุงมูนมากๆเลยครับ |
Nissan Frontier + 1UZ + Variable Mixer
มารายงานผลนะครับลุงมูนจากการไปติด Obd มา เป็นตามที่ลุงมูนวิเคราะห์ครับ เครื่องผมเย็นเกินไปครับ
ปกติอยู่ที่ 80-85 นะครับ อัดเต็มๆ และค้างนานๆ ขึ้นไปสูงสุดที่ 93 นะครับ และขับนานมากครับกว่าจะขับจาก 70 ไปที่ 80 การแก้ไขผมคงจะเปลี่ยนวาวล์น้ำใหม่นะครับ ไม่ทำหม้อน้ำใหม่แล้วนะครับ พัดลมไฮดรอริกส์ + หม้อน้ำทองแดง 2 ช่อง เอาอยู่เหลือๆ ครับ หากเพื่อนๆ ไม่แน่ใจนะครับ ผมแนะนำลอง Obd ดูนะครับและจะพบความจริงนะครับ ว่ารถเป็นอะไรกันแน่นะครับ ไม่ต้องกังวลใจด้วยนะครับ สุดท้ายขอบคุณลุงมูนอีกครั้งนะครับ |
รบกวนสอบถามท่านผู้รุ้หน่อยครับ
คือผมได้วางเครื่อง 1uz มาครับ
พอวางเสร็จก็เอาไปทดสอบวิ้งดูในเมิอง ช้าบางเร็วบ้าง วิ้งไปทั้งหมดสามวัน สุดท้ายลองทดสอบวิ้งทางด่วนสายวงแหวน ช่วงแฟร์ชั่นไอแลนด์ วิ้งแช่ 140 กม ถึง160 กม ต่อชั่วโมงจนไปสุดถนน ทะลุสายบางนาตราดเข็มความร้อนขึ้นครึงหนึ่ง ของเกย์ความร้อน ไม่มีปัญหาเรื่องความร้อนตลอดระยะที่วิ้งลอง แต่พอวิ้งกลับจนกระทั่ง ถึงบ้านลองเปิดฝาหม้อนํ้าดูนํ้าในหม้อนํ้า เดินเครื่องรอบเดินเบา สังเกตุดูนํ้าในหม้อนํ้า มันจะมีฟองอากาศ ปูดขึ้นมา ลูกอากาศขนาดเท่าหัวแม่โป้งมือ ปูดขึ้นมาหนึ่งลูก แล้ว ทิ้งระยะเวลาซักสองนาที มันก็ปูดขึ้นมาอีกลูก เป็นแบบนี้ตลอด แล้วสังเกตุ หม้อพักนํ้า นํ้าหายไปจากหม้อพักประมาณสองนิ้วไม้บรรทัด ลองดูตามสายนํ้าที่เข้าหม้อต้มแก๊ส และหม้อนํ้าก็ไม่มี จุดรอยนํ้ารั่ว ให้เห็น ที่แรกคิดว่าทําการไล่อากาศในระบบไม่หมด ก็ทําการเติมนํ้า จนถึงปากฝาปิดหม้อนํ้า เดินเครื่องรอบเดินเบา เร่งเครื่องจนนํ้าร้อน วาวนํ้าเปิด นํ้าในระบบไม่ดันออกระดับนํ้านิ่ง จนแน่ใจว่าไล่อากาศหมดแน่ แต่มันก็ไม่หมด เป็นไปได้ไหมว่า ประเก็นฝาสูบรั่ว หรือฝาสูบโกง แต่มันไม่มีปัญหาความร้อน เป็นไปได้ไหมว่าปั๊มนํ้ามันรั่ว มันเลยมีฟองอากาศไห้เห็น วานผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ งง มากๆ กระทู้ถามยาวไปหน่อยครับขอบคุณครับ:redface: :redface: |
อ้างถึง:
ไม่ต้องงงครับ ตอบได้อย่างชัดเจน 100% เลยครับว่า มีการรั่วในระบบระบายความร้อนด้วยน้ำครับ แล้วรั่วตรงไหน? จะหาจุดรั่วเจอได้อย่างไร? อาการรั่วแบบมีฟองผุดขึ้นมา นานๆ ครั้งนั้น แสดงว่า รั่วนิดหน่อย (รั่วประมาณเท่า รูเข็ม และรั่วจุดเดียวด้วย เพราะว่ารั่วมากกว่า 2 จุด น้ำจะออกไปทางจุดรั่วให้เห็นแบบชัดเจน) การที่มีรูรั่วเล็กๆจุดเดียว แล้วจะให้หาจุดรั่วนั้น หายากหน่อยครับ (แต่ไม่ยากเท่างมเข็มในมหาสมุทรครับ :)) แต่ถ้าคิดให้รอบคอบแล้ว เราพอจะสันนิษฐานที่มาที่ไป เพื่อให้คลำเป้าได้ง่ายขึ้นครับ เช่น
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:58 |
Powered by vBulletin รุ่น 3.6.8 Copyright ©2000-2025, Jelsoft Enterprises Ltd.
ClubJZ. NET Bestview 1024 * 768 and 1208 * 1024 pixels